Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่พร้อมกัน 3 ซีรีส์หลัก ไม่ว่าจะเป็น iPhone Air มาในดีไซน์ใหม่ บางและเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมา iPhone 17 อัปเกรดหน้าจอ และกล้องครั้งใหญ่ ปิดท้ายด้วย iPhone 17 Pro กับ iPhone 17 Pro Max กับระบบกล้องระดับโปรที่เหนือกว่าเดิม โดยทุกรุ่นจะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 19 กันยายนนี้
สมาชิกใหม่ iPhone Air

นับเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ในตระกูล iPhone กับ iPhone Air ที่จะกลายเป็นต้นแบบในการผลิต iPhone หลังจากนี้ของ Apple ด้วยการปรับการออกแบบภายในแบบใหม่หมด รวบรวมแผงวงจรที่จำเป็นมาไว้บริเวณแถบโมดูลกล้อง และปล่อยพื้นที่ที่เหลือไว้ให้กับแบตเตอรี ทำให้สามารถสร้าง iPhone ที่บาง 5.6 มม. ออกมาได้

ตัววัสดุที่ใช้งานยังคงเป็นไทเทเนียม ผสมกับกระจกหน้า และหลังแบบ Ceramic Shield โดยเฉพาะกระจกหน้าที่อัปเกรดเป็นรุ่นที่ 2 ทนรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า นอกจากนี้ ยังอัดเต็มเทคโนโลยีทั้งจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อม ProMotion สูงสุด 120Hz กล้องหลัก Fusion 48MP กล้องหน้าแบบใหม่
ซึ่งเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาด้วยความบางเพียง 5.6 มม. มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา และเป็นครั้งแรกที่ใช้ Ceramic Shield ปกป้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยด้านหน้าเป็น Ceramic Shield 2 ที่ทนรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า ทำให้เป็น iPhone ที่ทนทานที่สุด 18MP Center Stage ที่สามารถถ่ายภาพแนวตั้งหรือแนวนอนได้ขณะถือเครื่องในแนวตั้ง

ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้สามารถทำ iPhone ได้บางขนาดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ Apple ลงทุนในการผลิต Apple Silicon รวมถึงโมดูลของชิปเซ็ตต่างๆ ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ภายใน iPhone ได้แม่นยำมากขึ้น อย่างที่เห็นในรุ่นนี้คือมีการนำชิปของ Apple เองถึง 3 ตัวมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล A19 Pro ชิปไร้สาย N1 และโมเด็มเซลลูลาร์ C1X ที่มาช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานด้วย
iPhone Air รุ่นแรก จะวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 4 สีคือ ดำสเปซแบล็ค, ขาวปุยเมฆ, ทองอ่อน, และสกายบลู มีรุ่นให้เลือกทั้งขนาด 256GB, 512GB, 1TB ในราคาเริ่มต้น 39,900 บาท
ขายดีแน่ๆ iPhone 17

ตามมากับรุ่นที่จะขายดีที่สุดของ Apple ในปีนี้คือ iPhone 17 รุ่นธรรมดา เพราะในปีนี้ไม่มีรุ่น Plus หน้าจอใหญ่อีกแล้ว รอบนี้ได้รับการอัปเกรดหลายอย่างจนทำให้ iPhone รุ่นเริ่มต้นที่มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของจอ และกล้อง ที่แต่เดิมจะกลายเป็นจุดที่ทำให้โดนล้อเลียนจากคู่แข่งมากที่สุด

รอบนี้ iPhone 17 อัปเกรดมาใช้หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว พร้อม ProMotion 120Hz ขอบจอบางลงและสว่างขึ้นเป็น 3,000 นิต พร้อมกับเพิ่มความละเอียดกล้องคู่ Fusion 48MP ทั้งกล้องหลักและอัลตร้าไวด์ใหม่ เช่นเดียวกับกล้องหน้า 18MP Center Stage ทำงานบนชิป A19 ที่เพียงพอกับการใช้งานของทุกคนอยู่แล้ว โดยที่ประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม
iPhone 17 การันตีว่าสามารถใช้งานแบตเตอรีได้ต่อเนื่องตลอดวัน รวมถึงเพิ่มการชาร์จเร็วที่ 50% ภายใน 20 นาที มาให้ด้วย เมื่อประกอบกับสีใหม่ที่วางจำหน่ายทั้ง ลาเวนเดอร์, ฟ้าหมอก, เขียวเสจ, ขาว, และสีดำ ในราคาเริ่มต้น 29,900 บาท จึงไม่น่าแปลกใจที่ iPhone 17 ในระยะยาวแล้วอาจกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของปี
รุ่นโปร กับสีสันใหม่ๆ

ปิดท้ายกันที่ iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max รอบนี้กลายเป็นโดดเด่นในเรื่องของสีสันอย่างสีส้มคอสมิก ที่มาคู่กับสีน้ำเงินเข้ม และสีเงิน กลายเป็นไม่มีตัวเลือกสีดำให้เลือกในปีนี้กันไป พร้อมกลับไปใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมแบบ Unibody แทน โดยยกเหตุผลในเรื่องของการระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียม มาทำให้ให้คนที่ใช้รุ่น Pro ไม่รู้สึกว่าโดนลดเกรดของวัสดุที่ใช้งาน

Apple เลือกที่จะมีการนำระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber มาใช้งานเพิ่มเติมในรุ่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว Apple รับรู้มาตลอดว่าเวลาที่ใช้งานเครื่องประมวลผลหนักๆ จะเกิดการลดความเร็วในการประมวลผลจนทำให้การใช้งานบางอย่างติดขัน ซึ่งกว่าจะยอมแก้ไขในเรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายรุ่นแล้วที่คนใช้งาน iPhone เจออาการกระตุกหลังเล่นเกมไปสักพักหนึ่ง
iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max มากับชิป A19 Pro ที่ Apple เคลมว่าเป็นชิปบนสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในตอนนี้ โดยมีผลการทดสอบแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าแรงเทียบเท่าชิปที่ใช้บน MacBook Air M2 เลยทีเดียว ดังนั้นในเรื่องของประสิทธิภาพ iPhone 17 Pro จึงไม่ได้มีความน่าสงสัยแต่อย่างใด

ส่วนคุณภาพของกล้องที่รอบนี้เปลี่ยนมาใช้ Fusion 48MP ทั้งเลนส์หลัก อัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้ ทำให้สามารถถ่ายภาพได้คุณภาพสูงเทียบเท่ากับมีเลนส์ระยะที่ครอบคลุมตั้งแต่ 13 มม. 28 มม. ยาวไปถึง 200 มม. (แม้จะเป็นการครอบซูมจากเซ็นเซอร์ 4x) แต่ก็ทำให้ผู้ที่ใช้งาน iPhone แล้วต้องการกล้องซูม มีทางเลือกให้ใช้งานมากขึ้น

ตัวเครื่องมากับหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว (Pro) และ 6.9 นิ้ว (Pro Max) พร้อม ProMotion 120Hz พิเศษขึ้นมาคือมี Ceramic Shield 2 ที่ช่วยในเรื่องของลดแสงสะท้อนของหน้าจอเข้ามาด้วย ทำให้เหมาะกับการใช้งานถ่ายวิดีโอนอกสถานที่ได้สะดวกขึ้น
iPhone 17 Pro มีให้เลือกในรุ่น 256GB, 512GB, 1TB ราคาเริ่มต้น 43,900 บาท (ตอน iPhone 16 Pro มีรุ่น 128 GB ในปีที่ทุกรุ่นเริ่มที่ 256 GB ทั้งหมด) ส่วน iPhone 17 Pro Max: 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB ราคาเริ่มต้น 48,900 บาท